วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554
my idol
สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลต้า บีโก้ ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับใบเหลือง และ ใบแดงบ่อยครั้ง
ยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพอีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ลีกคัพ, ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีก 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (Young Player of the Year award)
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ด ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย
ยูโร 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนพ่ายกับโปรตุเกสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ
ฤดูกาล 2004-2005 เขาลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพกับเชลซีแต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วยแต่ก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยเอาชนะทีมเอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3
ฤดูกาล 2005-2006 ประตูตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้สตีเฟน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ ลีกคัพ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด , ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮม
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดลงเล่นในฟุตบอลโลกที่เยอรมันครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติโปรตุเกสและพ่ายในการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับบราซิลในรอบเดียวกัน
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซีได้ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ และเข้าชิงกับเอซี มิลานอีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ กับเชลซีเท่านั้น โดยชนะไป 2-1
ฤดูกาล 2007-2008 แม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถทำประตูได้มากที่สุดในทีมเป็นรองแค่ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้หงส์แดงหลายลูกเลยทีเดียว
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะลิเวอร์พูลผลงานในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (ที่บ้านเชลซีและเป็นทีมแรกที่ทำให้เชลซีแพ้ในบ้านนัดแรก) และ 2-0 ชนะ แมนยู 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด) และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม
ฤดูกาล 2009-2010 นอกจากจะไม่ได้แชมป์ทุกรายการ ผลงานของเจอร์ราร์ดก็ตกลงไปพร้อมกับผลงานของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้วหลายเท่า ผลงานยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดดิ้ง และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก และเจอร์ราร์ดทำประตูน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยเจอร์ราร์ดทำประตูในลีกแค่ 9 ประตูเท่านั้น โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้ลิเวอร์พูลถึง 11 นัด
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่บาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม แต่ผลงานในยูโรป้าลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮททริคได้ ในนัดที่พบกับ นาโปลี
ฤดูกาล 1998-1999 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่พบกับทีมเซลต้า บีโก้ ในแอนฟิลด์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง
ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับใบเหลือง และ ใบแดงบ่อยครั้ง
ยูโร 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น
ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพอีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ลีกคัพ, ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ
ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีก 12 นัดกับอีก 1 ประตู เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (Young Player of the Year award)
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล
ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ด ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย
ยูโร 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนพ่ายกับโปรตุเกสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ
ฤดูกาล 2004-2005 เขาลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพกับเชลซีแต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วยแต่ก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยเอาชนะทีมเอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกทีมเอซี มิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3
ฤดูกาล 2005-2006 ประตูตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้สตีเฟน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ ลีกคัพ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด , ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส , ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮม
ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดลงเล่นในฟุตบอลโลกที่เยอรมันครั้งแรกหลังจากเมื่อปี 2002 ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติโปรตุเกสและพ่ายในการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับบราซิลในรอบเดียวกัน
ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซีได้ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ และเข้าชิงกับเอซี มิลานอีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ กับเชลซีเท่านั้น โดยชนะไป 2-1
ฤดูกาล 2007-2008 แม้ว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถทำประตูได้มากที่สุดในทีมเป็นรองแค่ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้หงส์แดงหลายลูกเลยทีเดียว
ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะลิเวอร์พูลผลงานในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี,แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (ที่บ้านเชลซีและเป็นทีมแรกที่ทำให้เชลซีแพ้ในบ้านนัดแรก) และ 2-0 ชนะ แมนยู 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด) และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม
ฤดูกาล 2009-2010 นอกจากจะไม่ได้แชมป์ทุกรายการ ผลงานของเจอร์ราร์ดก็ตกลงไปพร้อมกับผลงานของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้วหลายเท่า ผลงานยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดดิ้ง และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก และเจอร์ราร์ดทำประตูน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยเจอร์ราร์ดทำประตูในลีกแค่ 9 ประตูเท่านั้น โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้ลิเวอร์พูลถึง 11 นัด
ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่บาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ ทีมชาติสหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ ทีมชาติสโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมันถึง 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู
ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม แต่ผลงานในยูโรป้าลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮททริคได้ ในนัดที่พบกับ นาโปลี
[แก้] เกียรติประวัติ
[แก้] กับสโมสรลิเวอร์พูล
- ชนะเลิศ
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ฤดูกาล 2001-02, 2006-07
- เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2005-06
- ลีกคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2002-03
- ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ ฤดูกาล 2001-02, 2005-06
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
- ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2000-01
[แก้] เกียรติประวัติส่วนตัว
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ปี 2009
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ปี 2006
- ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
- นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ปี 2001
[แก้] สถิติการยิงประตู
สโมสร | ฤดูกาล | พรีเมียร์ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่นๆ | รวม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
ลิเวอร์พูล | 2010-11 | 21 | 4 | 1 | 0 | 0 | 0 | 2 | 4 | 0 | 0 | 19 | 8 |
2009-10 | 33 | 9 | 2 | 1 | 1 | 0 | 13 | 2 | 0 | 0 | 49 | 12 | |
2008-09 | 31 | 16 | 3 | 1 | 0 | 0 | 10 | 7 | 0 | 0 | 44 | 24 | |
2007-08 | 34 | 11 | 3 | 3 | 2 | 1 | 13 | 6 | 0 | 0 | 52 | 21 | |
2006-07 | 36 | 7 | 1 | 0 | 1 | 1 | 12 | 3 | 1 | 0 | 51 | 11 | |
2005-06 | 32 | 10 | 6 | 4 | 1 | 1 | 12 | 7 | 2 | 1 | 53 | 23 | |
2004-05 | 30 | 7 | 0 | 0 | 3 | 2 | 10 | 4 | 0 | 0 | 43 | 13 | |
2003-04 | 34 | 4 | 3 | 0 | 2 | 0 | 8 | 2 | 0 | 0 | 47 | 6 | |
2002-03 | 34 | 5 | 2 | 0 | 6 | 2 | 11 | 0 | 1 | 0 | 54 | 7 | |
2001-02 | 28 | 3 | 2 | 0 | 0 | 0 | 15 | 1 | 0 | 0 | 45 | 4 | |
2000-01 | 33 | 7 | 4 | 1 | 4 | 0 | 9 | 2 | 0 | 0 | 50 | 10 | |
1999-00 | 29 | 1 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 31 | 1 | |
1998-99 | 12 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 13 | 0 | |
รวม | อังกฤษ | 387 | 84 | 29 | 10 | 20 | 7 | 116 | 38 | 4 | 1 | 556 | 140 |
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ ฤชุพันธ์ ไชซาววงศ์
ชื่อเล่น โม
เกิด 17/04/2534
ที่อยู่ 19/1 ม.7 ต.แม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 50130
เบอร์โทร 085-0369958
ชื่อเล่น โม
เกิด 17/04/2534
ที่อยู่ 19/1 ม.7 ต.แม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 50130
เบอร์โทร 085-0369958
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)